เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๑ ม.ค. ๒๕๖๑

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๖๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

 

ตั้งใจฟังธรรมะ โยมมาวัดมาวามาถวายทาน สิ่งที่ถวายทานนี้เป็นปัจจัยเครื่องอาศัย ปัจจัย ๔ เวลาฟังธรรมๆ สัจธรรมนั้นน่ะ สิ่งที่พระบิณฑบาต เวลาตักอาหารแล้วปฏิสังขาโย พิจารณาแล้วถึงฉันอาหาร ฉันอาหารเสร็จแล้ว สิ่งที่ว่าถวายทานๆ ปัจจัย ๔ เครื่องดำรงชีวิต ดำรงชีวิตไว้ทำไม ดำรงชีวิตไว้ค้นคว้าหาสัจจะความจริงไง

 

เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จิต ปฏิสนธิจิต การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะๆ เวลาคนเกิดมามีกายกับใจๆ เวลากายกับใจ สมัยพุทธกาลเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมๆ เพราะคนอยู่ในสมัยนั้นใช่ไหม โหยหาการหาสัจธรรมอันนั้นใช่ไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรม พระอรหันต์เต็มไปหมดเลย เต็มไปหมดเพราะเขาแสวงหา เขามีการกระทำ มีการกระทำนั้นน่ะ เพราะพราหมณ์เขามีอยู่แล้ว การบูชาไฟๆ

 

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปเทศน์ชฎิล ๓ พี่น้อง เขาก็เป็นพวกพราหมณ์นี่แหละ เขาก็บูชาไฟของเขา เขาเพ่งกสิณของเขา เขาเพ่งไฟของเขา จนเขามีฤทธิ์มีเดชนะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปจับพญานาคเขาไว้ในบาตรหมด แล้วเวลาถ้าเป็นความจริงๆ คนมีฤทธิ์มีเดชมันก็ตายหมด คนเราจะมีความทุกข์ความยากขนาดไหน จะมีความสุขล้นฟ้าขนาดไหน ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุดทั้งนั้นน่ะ มันไม่มีสัจธรรมอันใดที่มันจะมาชำระล้างกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจอันนั้นได้ไง

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาแสดงธัมมจักฯ พระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรมไง ฟังธรรม ฟังธรรมอันนี้ไง ฟังธรรมคือฟังสัจจะความจริงไง แล้วสัจจะความจริงนี้มันเกิดได้ที่ไหนล่ะ มันเกิดได้ที่บนหัวใจของมนุษย์ไง

 

ในบรรดาสัตว์สองเท้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐที่สุด แล้วเราเกิดมาเป็นมนุษย์ มนุษย์มีกายกับใจๆ หัวใจนี้หัวใจที่มันปฏิสนธิจิต เกิดในไข่ ในครรภ์ ในน้ำครำ ในโอปปาติกะ การกำเนิด กำเนิดเป็นมนุษย์นี่ พอเกิดเป็นมนุษย์ขึ้นมาแล้วมีกายกับใจๆ

 

สุขภาพกาย ดูสิ เวลานักกีฬาเขาต้องฝึกซ้อมของเขา สุขภาพจิตๆ นะ ถ้าคนไม่มีหัวใจ ดูนักมวยสิ ถ้าใจไม่สู้ แพ้ทั้งนั้นน่ะ เริ่มต้นที่หัวใจ ดูสิ ทำหน้าที่การงานก็เหมือนกันถ้าคนมีความเพียร มีความวิริยอุตสาหะด้วยหัวใจของเขา ทำแล้วมันจะมีความผิดพลาดอย่างไรมันฝึกหัดได้ ถ้าฝึกหัดได้ ทางการแพทย์เจริญๆ เจริญก็นี่ไง ดูแลร่างกายนี้ไง ดูแลร่างกายนี้ สุขภาพกายๆ ออกกำลังกายเพื่อสุขภาพกายนี้ไง

 

ถ้าสุขภาพกาย ถ้าไม่มีหัวใจเขาเรียกว่าคนตาย คนที่มีหัวใจอยู่ในร่างกายเขาเรียกว่าคน คนยังมีชีวิตอยู่ ชีวิตอยู่นี่เพราะหัวใจดวงนั้นมันมีความสุขความทุกข์ เพราะหัวใจดวงนั้นมีความสุขความทุกข์ แต่ทางโลก ทางวิทยาศาสตร์ เราไม่เชื่อสิ่งใดเลยที่เป็นนามธรรมที่จับต้องไม่ได้ เราจะเชื่อสิ่งที่เป็นวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์ได้ สิ่งที่พิสูจน์ได้ๆ คนเราก็จะอยู่ค้ำฟ้าไง หายาอายุวัฒนะกันไง แต่ถ้าเป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมโอสถๆ

 

คำว่า “ธรรมโอสถ” สัจธรรมอันนี้นะ ดูสิ เวลาหลวงตาท่านพูดถึงนะ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหมือนกับห้างสรรพสินค้า คำว่า “ห้างสรรพสินค้า” เขาไปเดินตากแอร์กันนะเดี๋ยวนี้ เขาไม่ไปซื้อของหรอก ถ้าใครเข้าไปมีเงินมีทองมากน้อยแค่ไหน ต้องการสินค้าสิ่งใดก็ได้สิ่งนั้นมา มีตั้งแต่สิ่งที่พื้นๆ ขึ้นไปจนสิ่งที่มีคุณค่า ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีคุณค่ามาก สั่งสอนสังคมให้เขามีน้ำใจต่อกัน ให้กตัญญูกตเวที ให้รู้จักบุญคุณของคน สิ่งนี้เป็นคุณงามความดีทั้งนั้นน่ะ คุณงามความดีก็เพื่อความร่มเย็นเป็นสุขในสังคมไง

 

ถ้าในสังคมนะ สังคม แล้วเวลาต้องพลัดพราก คนเรารักกันนะ แล้วต้องพลัดพรากจากกันนะ มันฉุดกระชากหัวใจไปเลยล่ะ แต่เวลาศึกษาธรรม ศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันเป็นสัจจะเป็นความจริงอันหนึ่ง ไม่มีใครสามารถจะฝืนไปยืนขวางความจริงอันนั้นได้ ความจริงอันนั้นต้องเป็นเช่นนั้น ถ้าเป็นเช่นนั้น เป็นเช่นนั้นแล้วใจเรายอมรับไหม ใจมันยอมรับ นี่ไง ศึกษาธรรม ศึกษามาเพื่อประพฤติปฏิบัติไง ถ้าศึกษามาเป็นสัจจะความจริง

 

เราเกิดมาแล้ว สิ่งที่เราปรารถนา ปรารถนาก็ทรัพย์สมบัติไง ทรัพย์สมบัติขึ้นมาเพื่อความมั่นคงของชีวิต ทรัพย์สมบัติเพื่อมีความสุข อันนั้นมันเป็นอำนาจวาสนาของคนนะ เงินซื้อได้เป็นบางอย่าง เงินซื้อสิ่งอำนวยความสะดวกได้ สุขภาพร่างกาย เงินสามารถให้เขาดูแลรักษาเราได้ แต่มันซื้อไม่ได้ทั้งหมดหรอก มันซื้อหัวใจคนไม่ได้ มันซื้อหัวใจคนที่ยิ่งใหญ่ หัวใจคนที่มีคุณธรรมไม่ได้

 

แต่มันซื้อหัวใจคนอื่นได้ ซื้อคนที่จิตใจไม่เข้มแข็ง เขาซื้อของเขาไง เราไม่ขายวิญญาณ ใครขายวิญญาณ คนนั้นไม่มีคุณภาพ ถ้าคนไม่มีคุณภาพ แล้วถ้ามันเป็นความจริงๆ ขึ้นมา เงินมันซื้อไม่ได้ทุกอย่างหรอก แต่มันมีความจำเป็นไหม มันก็มีความจำเป็นส่วนหนึ่ง ดูสิ ดูพระเรา เวลาบวชพระ บริขาร ๘ นั่นน่ะปัจจัย ๔ บาตรคืออาหารให้เลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค สิ่งนี้ขาดไม่ได้ เงินซื้อพวกนี้ได้ เงินทำประโยชน์ได้ เงินทำประโยชน์ได้หมายความว่า เรามีเงินมีทอง เราจะช่วยเหลือเจือจานใครก็ได้ คนที่เขาขาดตกบกพร่อง เราให้ของเราเพื่อสร้างอำนาจวาสนาบารมีของเรา มันทำประโยชน์ได้ถ้าหัวใจของคนที่เป็นธรรมๆ ถ้ามันเป็นประโยชน์ได้ เห็นไหม

 

แต่ถ้าเป็นธรรมที่เป็นสัจธรรมในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าล่ะ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันต้องประพฤติปฏิบัติขึ้นมาด้วยหัวใจของเราเอง ดูสิ เวลาสุขภาพกาย คนที่ออกกำลังกาย คนที่เขาดูแลร่างกายของเขา เขาจะแข็งแรงของเขา คนที่สุขภาพจิตๆ เราฝึกหัด เรามีศีล มีสมาธิ มีปัญญาของเรา ถ้าเรามีศีล สมาธิ ปัญญาของเรา เราจะฟื้นฟูจิตใจของเราไง

 

ทำไมเราเกิดมามันทุกข์มันยากขนาดนี้ เวลามันทุกข์ยากขนาดนี้นะ เพราะเราคิดว่าถ้ามันประสบความสำเร็จทางโลกมันจะมีความสุขๆ แสวงหาไปเถอะ ตะครุบเงาไปเรื่อย ตะครุบเงาไปเรื่อย กิเลสมันก็แหย่เรื่อย กิเลสมันก็กระตุ้นเรื่อย แล้วกระตุ้นเข้ามาแล้วมันไม่เจอความสุขจริงสักที ได้แค่นั้นจะพอ แค่นั้นจะพอๆ ไม่เคยพอสักที ตัณหาล้นฝั่งนะ ถมไม่เต็มหรอก ถมทะเลไม่มีวันเต็ม

 

แต่เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านประพฤติปฏิบัตินะ เวลาเราทุกคนถ้ามาศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วคนที่มีอำนาจวาสนานะ คนที่มีอำนาจวาสนาหมายถึงว่า ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เวลาผู้ที่ฟังเทศน์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในพระไตรปิฎก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเปรียบเหมือนหงายของที่คว่ำอยู่ ถ้วยโถโอชามที่มันคว่ำอยู่ มันรับสิ่งใดไม่ได้เลย ถ้ามันได้หงายขึ้นมา สิ่งใดก็แล้วแต่มันจะเข้าไปตกในถ้วยโถโอชามอันนั้นได้

 

หัวใจของเรามีกิเลสมีทิฏฐิมานะมันคว่ำไว้ ถือตัวถือตนว่ายิ่งใหญ่ ถือตัวถือตนว่าข้ารู้ ถือตัวถือตนว่าข้าแน่ แต่ถ้าวันไหนถ้ามีสติมีปัญญาขึ้นมานะ เขาบอกว่า คนก็ไม่ใหญ่กว่าโลงหรอก คนก็เท่านี้แหละ คนมันจะดีจะชั่วอยู่ที่การกระทำ คนจะดีจะชั่วอยู่ที่หัวใจ ถ้ามันคิดได้ของมันนะ แล้วสิ่งใดที่มีค่าล่ะ ถ้าสิ่งใดที่มีค่า สัจจะ คุณธรรมมันอยู่ที่ไหนล่ะ เราก็มืดแปดด้าน เรามีการศึกษา เรารู้ไปทุกๆ เรื่องเลย แต่ไม่รู้เรื่องของตัวเองเลย แล้วธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านสอนถึงเรื่องอะไรล่ะ เงี่ยหูลงฟัง นี่แหละมันจะหงายภาชนะของมันขึ้นมาไง ถ้าคนเรานะ หงายหัวใจเราขึ้นมา เปิดหัวใจเราขึ้นมา นี่คือบุญนะ บุญนี้มหาศาลมากเลย

 

ในโลกสังคมเที่ยวชี้หน้ากันนะ มึงน่ะโง่ ไปวัดไปวานี่ไอ้พวกโง่ มึงดูกูสิ กูอยู่บ้านกูมีความสุขมาก อยู่ในห้องแอร์

 

มันเปิดแอร์จนหนาวสั่นมันยังทุกข์อยู่ในใจมันน่ะ มันยังชี้หน้าเขาอยู่ว่ามึงโง่ๆ ไง มันหาตัวตนไม่เจอ ไม่รู้จักสัจจะความจริงในใจไง เพราะมันไม่มีอำนาจวาสนาไง ถ้ามีอำนาจวาสนามันจะเกิดทิฏฐิมานะไง ไปวัด ไปจับผิดพระ อู๋ย! เอาซะเยอะแยะเลย ฉันก็นิดเดียว อู๋ย! พระขี้โลภเลย

 

พระที่มีคุณธรรม ทุกคนเป็นเนื้อนาบุญของโลก ทุกคนก็อยากจะให้ฉลองศรัทธาของเขา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ แย่งชิงกันอุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ถวายทานองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้ามันเป็นสิ่งที่เป็นสัจจะ เขาก็แย่งกัน ถ้าเขาแย่งกัน มันก็อยู่ที่ว่าท่านจะบริหารอย่างไร ท่านจะรักษาน้ำใจของศรัทธาไทยอย่างใด นั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งนะ แต่เราบอก อู้ฮู! ขี้โลภๆ...ก็มึงไม่เคยให้ มึงก็คิดหนึ่งบวกหนึ่งเป็นสอง คิดแบบวิทยาศาสตร์ไง

 

แต่ธรรมะนะ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันมีทุคตะเข็ญใจเป็นผู้ที่รับจ้างไถนาคนงานไง แล้วถึงเวลาจะไปไถนา ถึงทีเวลาคนหนึ่ง ญาติของเขาต้องเอาข้าวมาส่ง โอ้โฮ! เขาหิว เขารอ หิวกระหายมาก ถึงเวลาเขาจะเอาข้าวมาส่ง พระกัสสปะก็เข้าฌานสมาบัติ ออกมาจากฌานสมาบัติก็จะมาโปรดคนทุกข์คนยาก เวลาเขาเอาข้าวมาส่งนะ คนหิวกระหายจนจะเป็นจะตาย แต่เห็นพระกัสสปะแล้วมันชื่นใจ ได้ถวายทานอันนั้นไป พระกัสสปะเพิ่งออกจากฌานสมาบัติ เสร็จแล้วมันได้อิ่มหัวใจไง ทั้งๆ ที่หิวกระหายนะ อิ่มหัวใจกลับไปก็ไปไถนาต่อ พอไถนาขึ้นไป ดินที่พลิกขึ้นมาเป็นทองคำทั้งนั้นเลย เป็นทองคำๆ

 

เป็นทุคตะเข็ญใจ เป็นคนจน มีทองคำได้ยอย่างไร มีทองคำก็หัวขาด ก็ไปเฝ้าพระเจ้าพิมพิสาร บอกข้าพเจ้าเป็นทุคตะเข็ญใจ เป็นคนทุกข์คนยาก แต่เวลาไถนาไปแล้วมันก็เป็นทองคำๆ

 

พระเจ้าพิมพิสารเป็นพระโสดาบัน ท่านเข้าใจเรื่องเวรเรื่องกรรม ท่านถึงสั่งให้อำมาตย์เอาเกวียนไปบรรทุกทองคำนั้นมา พอไปบรรทุกทองคำนั้นมา พอไปหยิบทองคำขึ้นมากลายเป็นดินหมดเลย แล้วกลับมาเฝ้าพระเจ้าพิมพิสารบอกว่า ไปเห็นทองคำจริงๆ แต่พอยกขึ้นมามันกลายเป็นดินทั้งนั้นน่ะ

 

พระเจ้าพิมพิสารบอกว่า ให้เธอกลับไปใหม่ บอกว่าให้ไปขนทองคำของทุคตะเข็ญใจคนนี้ ไม่ใช่เป็นทองคำของคนอื่น

 

พอไปถึงที่นั้นนะ พอยกขึ้นมาเป็นทองคำอย่างเดิม ยกขึ้นมาเป็นทองคำ ทุกขึ้นมา ๘๐ เล่มเกวียน พระเจ้าพิมพิสารจึงตั้งให้เป็นเศรษฐี เป็นเศรษฐีประจำรัชกาล

 

ถ้าเป็นธรรม เป็นธรรมอย่างนี้ แต่เราฟังธรรมะอย่างนี้เราก็อยากกันนะ อู้ฮู! ไปหาพระนะ เข้าฌานสมาบัติจะไปใส่บาตรนะ...มันชานอ้อย ถ้าชานอย่างนั้นมันชานอ้อย คุณธรรมอย่างนี้เขาไม่เอามาอวดมาโม้กันหรอก แต่พวกเราเวลาพระพุทธศาสนาสอนเรื่องนี้จริงๆ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะมันยังไม่มีแบบอย่าง ไม่มีตัวอย่าง มันเป็นข้อเท็จจริง พอเราไปเรียนมาแล้วเราก็จะเลียนแบบรูปแบบ สินค้าเทียมเลียนแบบ แล้วก็ทำไม่ได้อย่างนั้นไง

 

ถ้ามันทำได้นะ ทำได้เป็นสัจจะเป็นความจริงในใจของเรานะ ครูบาอาจารย์ของเรา หลวงปู่ตื้ออย่างนี้ หลวงปู่ชอบอย่างนี้ หลวงปู่ฝั้นอย่างนี้ ทำได้ทั้งนั้นน่ะ แล้วท่านมาโชว์ไหม ท่านมาอวดอ้างไหม แต่ในหมู่สงฆ์รู้กัน ในหมู่สงฆ์เหมือนกับพวกเรา เราเป็นคนที่มีปัญญาด้วยกัน เราจะให้เพื่อนหลอกไหม

 

นี่ก็เหมือนกัน ในหมู่สงฆ์ๆ คนที่บวชมาเขาก็มีสติมีปัญญาของเขาทั้งนั้นน่ะ เขาจะให้ใครมาหลอกเราได้ เราหาครูบาอาจารย์ เราจะไปให้ครูบาอาจารย์หลอกเราหรือ ดูสิ คว่ำภาชนะไว้ ทิฏฐิมานะในหัวใจมหาศาล กว่าที่มันจะหงายขึ้นมาได้ กว่ามันจะยอมรับเหตุและผลขึ้นมาได้ ถ้ายอมรับเหตุและผลขึ้นมาแล้ว เวลาเริ่มต้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการ ให้ศรัทธาความเชื่อเป็นอริยทรัพย์ เป็นอริยทรัพย์ลากพวกเราเข้ามา มาศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เวลาจะประพฤติปฏิบัติแล้ว กาลามสูตร

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านไม่ให้เชื่อใครนะ ให้เชื่อปัจจัตตัง ให้เชื่อสัจจะความจริงที่เกิดขึ้นมาในหัวใจ แต่มันก็อีกแหละ พวกเราวุฒิภาวะที่อ่อนด้อย ลมพัดใบไม้ไหว เชื่อไปหมดเลย เวลาเขาพูดอะไร เชื่อไปหมดเลยนะ

 

แต่ถ้ามันไม่เชื่อๆ คนที่เขาจะมีสติมีปัญญา คนที่เขาจะทรงคุณธรรมได้ เขาต้องมีสติมีปัญญา มีวุฒิภาวะอย่างนี้ ไม่เชื่อสิ่งใดง่ายๆ สิ่งใดที่เกิดขึ้นแล้ว ถ้ารู้เห็นแล้วต้องพิจารณา ต้องแยกต้องแยะ ต้องค้นต้องคว้า ต้องพิจารณาจนกว่ามันจะเป็นความจริง ตรวจสอบแล้วตรวจสอบอีกไง ทำซ้ำๆๆ ไง ถ้ามันเป็นจริงมันจะเป็นจริงขึ้นมาแบบนี้ไง ถ้าเป็นจริงขึ้นมาในหัวใจ เห็นไหม

 

นี่ไง ที่ว่าทำไมในวงกรรมฐานถึงเชื่อครูบาอาจารย์ เชื่อเพราะท่านเป็นความจริงไง ถ้าเป็นความจริงแล้วความจริงก็อยู่กับท่านไง อยู่กับท่านได้พิสูจน์ตรวจสอบกันมาไง ถ้ามันเป็นความจริง เป็นความจริงอย่างนั้นไง แล้วความจริงอย่างนี้ เวลาครูบาอาจารย์ท่านเทศนาว่าการ ครูบาอาจารย์ร่อยหรอไปเรื่อยๆ ครูบาอาจารย์เราร่อยหรอไปเรื่อยๆ เพราะสิ่งที่มันจะเป็นความจริงอย่างนั้น เป็นความจริงอย่างนั้นนะ ดูสิ ลูกของเรา ลูกของเราความรู้สึกนึกคิดยังไม่เหมือนกัน แล้วคนที่คิดดีทำดีกว่าจะได้มา เขาต้องสร้างบุญกุศลของเขามา เวลาคิด คิดแต่สิ่งที่กระทบกระเทือนในหัวใจ เขาก็ได้สร้างบาปอกุศลของเขามา การทำมาๆ มันอยู่ที่ทำมาทั้งนั้นแหละ นี่จริตนิสัย ความรู้สึกนึกคิด มันอยู่ที่เราทำมา เขาเรียกจริตนิสัย

 

แล้วเวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เวลานั่งสมาธิไปแล้วเป็นสมาธิเฉยๆ ที่ไม่รู้ไม่เห็นสิ่งใด นั้นก็เป็นอำนาจวาสนาของคน คนที่นั่งสมาธิไปแล้วไปรู้เห็นสิ่งต่างๆ มันต้องมีครูบาอาจารย์ที่ถึงไง สิ่งที่รู้ๆ จิตออกรู้ทั้งนั้นน่ะ จิตที่มันออกรู้ จิตที่มันสงบพอระงับแล้วมันออกรู้สิ่งต่างๆ มันก็เป็นจริตนิสัยอย่างนั้น มันก็ต้องมีสติปัญญายับยั้งไว้ รั้งไว้ รั้งไว้ให้มันเป็นตัวของตัวมันเองไง อย่าไปเที่ยวคว้าสิ่งที่เรารู้เราเห็นไง สิ่งที่เรารู้เราเห็นนี้ยังไม่เป็นประโยชน์ขึ้นมา มันยังไม่เป็นประโยชน์ไง มันจะเป็นประโยชน์ต่อเมื่อจิตสงบแล้วเห็นสติปัฏฐาน ๔ ยกขึ้นสู่วิปัสสนา มันจะเป็นประโยชน์ต่อเมื่อเราใช้ประโยชน์

 

เราเรียนหนังสืออยู่ เรียนเราก็เรียนหนังสือ จบแล้วหางานทำ ถ้ามีงานทำแล้ว มีผลประโยชน์แล้ว อันนั้นก็จะเป็นประโยชน์มา เรียนแล้วทำงานด้วย เดี๋ยวนี้เขาเรียนด้วยทำงานด้วยมันก็มีอยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่แล้วเวลาเรียน เราก็ขวนขวายเรียนของเราไง

 

นี่ก็เหมือนกัน เวลาเราศึกษา เราก็ศึกษาของเรา เราจะปฏิบัติเราก็ปฏิบัติของเรา แล้วเวลาจะทำสมาธิก็เป็นสมาธิ ถ้ามันจะใช้ปัญญาก็เป็นปัญญา มันเป็นขั้นเป็นตอนของมันไปไง มันเป็นขั้นเป็นตอน อริยสัจสัจจะมีหนึ่งเดียวไง แต่ที่ว่ามันเป็นอยู่อย่างนี้เพราะมันเป็นอำนาจวาสนาของผู้ที่ปฏิบัติที่เขาปฏิบัติแล้วเขามีอำนาจวาสนาของเขา เขาทำมามาก เขาทำสิ่งใดเขาจะประสบความสำเร็จ เขาจะประสบความสำเร็จของเขา

 

แต่ถ้าเราเวไนยสัตว์ยัง ๕๐-๕๐ กึ่งๆ แต่เราถ้าขวนขวายของเรามันจะเป็นประโยชน์กับเราไง แต่คนที่เขาทำมาน้อย ทำมาน้อยที่คว่ำภาชนะไว้ไง เขามีความรู้ท่วมหัว รู้ไปทุกเรื่องเลย แต่เขาไม่คิดจะช่วยตัวเขาเองเลย เขาไม่เคยคิดจะหาสัจจะความจริงของเขาเองเลย ของเขาเองคือใจของเขา เขาต้องพิสูจน์ใจของเขา การประพฤติปฏิบัติคือการพิสูจน์ใจกัน

 

การชนะใจของตนเองคือสัมมาสมาธิ การแพ้ใจของตนเองนั่นคือกิเลสตัณหาความทะยานอยากเหยียบย่ำทำลาย เราแพ้ตัวเองตลอด เราไม่เคยชนะตัวเองแม้แต่หนเดียว ถ้าเราชนะตัวของเราเองได้ จิตมันต้องสงบได้ สงบได้ด้วยสติด้วยปัญญาของเรา นี่เราพยายามค้นคว้าศึกษาหัวใจของเราไง นี่ไง ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติเป็นผู้ยิ่งใหญ่ ยิ่งใหญ่เพราะว่าเอาชนะตนเองไง

 

สงครามเกิดมากน้อยขนาดไหน เกิดแล้วมันสร้างเวรสร้างกรรมทั้งนั้นน่ะ ผู้แพ้ก็ไปรวบรวมขึ้นมาใหม่ แล้วก็จะมาต่อสู้กันอย่างนั้นไม่มีวันจบวันสิ้น ความรุนแรงไม่มีวันจบวันสิ้น การให้อภัยต่อกัน การมีสติปัญญาที่ระลึกถึงกัน สิ่งนี้เท่านั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเน้นย้ำเลย “เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร”

 

เวร ถ้ายังจองเวรจองกรรมต่อกันไป ไม่มีวันจบวันสิ้น เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร แล้วไม่จองอย่างไรล่ะ ไม่จองมันก็ต้องกลับมาที่ตัวเรานี่ไง เราต้องหาเหตุหาผลให้หัวใจเรายอมรับการกระทำอันนั้นไง ยอมรับถึงการกระทำที่เขาทำกับเราไง ถ้าเขาทำกับเรา เวลาครูบาอาจารย์ของเราเป็นพระที่ยิ่งใหญ่นะ แล้วมีคนไปกระทำท่าน นั่นน่ะเวรกรรมมหาศาล

 

หลวงปู่สาม ครูบาอาจารย์ของเราท่านธุดงค์ไป นั่งเข้าสมาธิอยู่ เขาเอาหินปามาเข้าเต็มหน้าเลยนะ เลือดนี้เต็มหมดเลย แต่ท่านอยู่ในสมาธิของท่าน เวลาออกจากสมาธิมานี่เลือดทั้งนั้นเลย แล้วผู้กระทำมันไปไหนน่ะ แล้วท่านมีอะไรด้วยล่ะ ท่านไม่เห็นมีอะไรเลย นี่กรรมของเขาไง

 

ถ้าเรามีสติมีปัญญาพยายามจะดูแลหัวใจของเราไม่ให้กิเลสตัณหาความทะยานอยากมากระตุ้นในใจของเรา ถ้ามันมีเหตุมีผลขึ้นมา มันยอมรับ ความยอมรับอย่างนั้น จะบอกว่ามันไม่เป็นความทุกข์ แต่คนทำ คนทำนั่นน่ะ เพราะอะไร เพราะในสังคมเรา สุภาพบุรุษรังแกสุภาพสตรีก็รับไม่ได้ ผู้ใหญ่รังแกเด็ก เราก็รับกันไม่ได้ แล้วทางโลกไปกระทำผู้ทรงศีล แล้วผู้นั้นเป็นผู้ที่บริสุทธิ์เข้าไปอีก มันรับได้ไหม แม้แต่ทางโลกยังรับกันไม่ได้ แล้วเวรกรรมล่ะ

 

นี่ไง เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร ครูบาอาจารย์ของเราท่านไม่จองเวรจองกรรมใครทั้งสิ้น นั่นล่ะมันถึงเกิดกรรมที่ยิ่งใหญ่ กรรมที่เขาการกระทำอย่างนั้น ทำอย่างนั้น ดูสิ เวลาหลวงตามหาบัวออกมาโครงการช่วยชาติ ไอ้คนปากเบี้ยว ไอ้คนเดินไม่ได้ไปขอขมาลาโทษท่านเยอะแยะ เดี๋ยวๆ ก็ไปขอขมา เดี๋ยวๆ ก็ไปขอขมา

 

เห็นว่าท่านออกมาโครงการช่วยชาติ ไปติฉินนินทาท่าน คิดสบประมาทท่าน ถึงเวลาแล้วนะ ไปขอขมากันน่ะ เช้าๆ นี่เต็มไปหมดเลย คนนู้นมาขอขมา คนนี้มาขอขมา แต่ท่านไม่ติดใจใครเลย

 

ท่านพูดอยู่คำหนึ่ง เวลาโครงการช่วยชาติ ท่านพอใจทุกๆ เรื่อง เสียใจอยู่อย่างเดียวเท่านั้นน่ะ คนมันตกนรกอเวจีกันเยอะ เสียใจอยู่เรื่องเดียว เรื่องที่คนมันไม่รู้แล้วมันกล่าวโจมตี ไอ้พวกนี้ตกนรกอเวจีกันโดยไม่รู้ตัว

 

ท่านกลับไปเมตตาเขา ท่านกลับไปสงสารเขา ท่านกลับไปเห็นใจเขา เพราะเขามืดบอดเขาถึงได้ทำแบบนั้น พูดถึงเวลาเรื่องของเวรเรื่องของกรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงสอน เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร เอวัง